ace
$*~~Maybe~~*$

ไม่รู้คนอื่นจะมองว่าแปลกไหม แต่เราเป็นนอนไบที่เป็นเอเซ็กชวลในกลุ่มเอโรแมนติก พอสำรวจตัวเองดีๆ ก็พบว่ายังควบเอเซ็กซ์ ที่หมายความว่าไม่อยากอยู่ในความสัมพันธ์โรแมนติกและไม่อยากมีเพศสัมพันธ์ด้วย คือถ้าตามฮอร์โมนเชิงชีวะมันก็รู้สึกแหละ แต่ถ้าจะให้คิดมันคิดไม่ลง มันเป็นความรู้สึกที่แค่เห็นตัวเอง เห็นเนื้อหนัง เห็นร่างกายก็ไม่อยากจะทำอะไรกับมันแล้ว (ปลงแบบพระมาก) ไม่เชิงว่าไม่มีในชีวิตเลย แบบนั้นก็เกินมนุษย์มาก ให้มีความสัมพันธ์เชิงโรแมนซ์ได้ แต่ต่อให้มากแค่ไหนก็ไม่อินในความสัมพันธ์แบบนั้นเท่าไหร่เพราะไม่ได้คิดดึงดูดใครในชีวิตจริงเลย เป็นศูนย์จนบางครั้งก็เข้าใจว่าตายด้านจริงๆ ถ้าเห็นใครจัดอยู่ในสเปค (ที่มี) ก็แค่เผินๆ แล้วหายรู้สึก(รัก,ชอบ,ปลื้ม) ไม่อยากยึดติดใคร รู้สึกแค่นึกก็เหนื่อยแล้ว ไม่ชอบความรู้สึกที่ต้องหลอนหน้าใครสักคนเป็นปีๆ ผ่านมาหลายปียังฝันถึงวันนั้น บางคนก็รู้สึก แต่ก็แค่ยอมรับให้เขาอยู่ในความทรงจำแล้วจางไป ถึงจะคิดแบบนั้นก็เหมือนจะตรงกันข้าม
จนเจอโควทนึงว่า “การไม่อยากนึกนั่นแหละนึกแล้ว”
กระทั่งเคยคิดว่าหรือมีปมเลยไม่เปิดใจ ฉาบกำแพงสูงจนหนา แต่ก็ไม่ขนาดนั้นเพราะไม่ใช่คนไม่อยากได้อะไรเลย ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ได้กำหนดใครตายตัวโต้งๆ ส่วนใหญ่แค่มองข้ามเพราะไม่อยากอยู่ในความโรแมนติกเพราะไม่อิน หรือจะประหลาดแล้ววะ(ขำ)
โลกก็คือโลก คนก็คือผู้คน เพราะมีผู้คน จึงเกิดสายใยสัมพันธ์ และมีความทรงจำระหว่างทาง
คิดไปคิดมาก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองแปลกกว่าคนอื่น หรือใครจะมองว่าแปลกก็ช่างเขา แต่แค่รู้สึกเกิดมาเพื่อเป็นขบถnormของสังคมไปบ้าง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมได้เกิดมา มันจงใจเกินไป เพราะคนอื่นมีครอบครัว มีพี่น้อง ญาติผู้ใหญ่เอ็นดู แต่เราเกิดมาเป็นลูกคนเดียว เคยมั่งมี สุดท้ายก็แยกจาก ต่างคนต่างอยู่ แต่ก็ยังส่งเสีย ส่งเสริมเราอยู่ทั้งพ่อและแม่ หรือกระทั่งน้า ยาย ฝั่งทางแม่ ทุกคนยังรักเราเป็นลูกเป็นหลานคนเดิม เท่าเดิม แต่การเป็นแบบนี้ที่ตัวคนเดียว แยกต่าง สันโดษ นานวันเข้าก็รู้สึกเหมือนเป็นอื่นบนโลก ท่ามกลางสังคมฉาบฉวยที่จะต้องรักครอบครัว ต้องมีแฟน แต่งงาน มีลูก มีสิ่งที่คิดว่าชีวิตควรจะเป็น และการที่เราเป็นเราก็มีอีกหลายคนที่เป็นเหมือนเรา กระจัดกระจายถมไป ไม่มีใครแตกต่าง แปลกแยก เราแค่จัดการชีวิตของเราในแบบของตัวเอง รู้สึกเหมือนความบิดเบี้ยวในใจต่อสังคมที่มีมันเลือนลาง แต่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพื้นโลก ต้นไม้ สรรพสัตว์ ตัวตน มีอย่างไหนคือเรื่องจริงกันแน่
opinion: แต่ยิ่งแย่ก็ยิ่งเห็นคุณค่าในการมีชีวิตเพราะ 10กว่าปีให้หลัง หลังจากราบรื่นดี ครอบครัวก็มาล้มละลาย สถานะทุกอย่างพังเป็นกองพะเนิน ทุกคนเริ่มไม่ลงรอย ร้าวหัก เราที่พอมีอะไรจะทำได้ก็ทำไป ตามหน้าที่ ตามความรับผิดชอบ ตามกำลังในวัยนั้น คนในครอบครัวเคยบอกถ้าไม่มีเราเขาคงฆ่าตัวตายไปแล้ว เพราะจำประโยคพวกนี้ได้ เลยคิดว่าถึงไม่รู้ว่าจะเกิดมาทำไม แต่ก็รู้ว่าการมีอยู่สำคัญ ถึงจะไม่ใช่ต่อระบบนิเวศวิทยาแต่ก็เป็นสายใยเล็กๆ นั่น และทุกชีวิตก็สำคัญ ถึงไม่รู้ว่าทำไมแต่เพราะเป็นสังคมเลยรู้สึกว่าดีกว่าได้ขาดหายไป จุดเล็กๆ ของเราแต่ละคนจะเชื่อมต่อกันเป็นรูปอะไรก็ได้ (เวย์ดี,เลวได้ทั้งนั้น)
(ความเชื่อ) opinions: ในทางธรรม มีคนลงผ่านตา เห็นเลยเข้าไปอ่านว่าคนที่มาสายนี้ ในชีวิตอาจได้พบเจอแต่เรื่องเป็นทุกข์ จนหันมาพึ่งธรรม ชีวิตถึงจะดีขึ้น ไม่รู้จริงไหม แต่เพราะญาติเป็นคนทรง ถือศีล เคยทรงถึงพระแม่ (ที่เราไม่กินเนื้อวัวมาเลยแต่เกิด ตั้งแต่ในท้องแม่ แม่อ้วกตลอดที่ได้กลิ่นเนื้อ เลยไม่เคยกินตั้งแต่ยังไม่ดูโลก) พระแม่บอกมีเทวดาตามมาถึงหกองค์ แนะให้ปฏิบัติเยอะๆ แล้วพระแม่จะมาให้เห็น ตอนนั้นอึ้งอยู่เพราะเด็กมัธยม จะไปรู้อะไร พอขึ้นมอปลายจับผลัดจับพลูแบบไหนไม่รู้ ได้ไปปฏิบัติธรรมกับคนรู้จักมาชวนและพบว่าละแวกนั้นเขาไปกันประจำ(เหล่าคุณป้าเกษียณราชการ) ฟังธรรมบ่อยจนคิดว่าจบม.6จะไปบวช จะคอยตามหลวงปู่ (จากวัดที่ไปปฏิบัติ สายปฏิบัติ และกินมังสวิรัติ) รู้สึกเบาหวิวและโล่งมากๆ รู้สึกว่าหรือทางนี้จะเป็นทางของเรา แต่ก็นั่นแหละ บาปบุญยังได้ใช้ชีวิตซมซานเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าจะได้ละหรือเปล่า